วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556
ร่ายโบราณและร่ายยาว
ร่ายโบราณ
รูปแบบผังทางฉันทลักษณ์ของร่ายโบราณ
|
เช่น
ประชากรเกษมสุข สนุกทั่วธรณี พระนครศรีอโยธยา
มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์
อุดมยศโยคยิ่งหล้า ฟ้าฟื้นฝึกบูรณ์
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
ร่ายโบราณ มีปรากฏอยู่ในวรรคดีโบราณคล้ายกับร่ายสุภาพ คือ บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวนวรรค แต่ไม่ต่ำกว่า 5 วรรค 1 วรรคมี 5 – 8 คำ มีสัมผัสส่งจากวรรคหน้าไปยังคำที่ 1 – 2 – 3 ของวรรคต่อไป แต่ไม่ต้องลงท้ายด้วยโคลงสองเหมือนร่ายสุภาพ คือ จบโดยไม่มีวิธีลงท้ายใดๆอาจมีคำสร้อย 2 คำตอนสุดท้ายหรือสลับวรรคก็ได้
ร่ายยาว
รูปแบบผังทางฉันทลักษณ์ของร่ายยาว
|
เช่น
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยามหาดิลก
ภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมนิเวศน์มหาสถาน บรมพิมานอวตารสถิต
ศักรทิตติยวิษณุกรรมประสิทธ์
(นามกรุงเทพฯ)
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
คณะ ร่ายยาวมิได้บังคับจำนวนคำ คือ มีคณะไม่แน่นอนในวรรคหนึ่ง อาจมีจำนวนคำตั้งแต่ 6 – 7 คำ ไปจนถึง 15 คำ แล้วแต่ความยาวและช่วงการหายใจครั้งหนึ่ง
สัมผัส มีหลักว่าในคำท้ายของแต่ละวรรคเป็นตัวส่งสัมผัสคำใดคำหนึ่งในวรรคถัดไปเป็นคำรับสัมผัส ไม่แน่นอนว่าจะสัมผัสคำที่เท่าใด ถ้าส่งวรรณยุกต์เอกก็ควรรับด้วยคำเอก ส่งคำโทก็รับคำโท แต่ไม่ถือเคร่งครัดนัก คำที่รับสัมผัสอาจเป็นคำที่ 3 , ที่ 4 , คำที่ 7 หรือคำที่ 10 แล้วแต่จะเหมาะสม
คำสร้อย เนื่องจากร่ายยาวเป็นคำประพันธ์ที่นิยมแต่งเป็นกลอนสวดหรือกลอนเทศน์ใช้อ่านทำนอง จึงมักจะมีคำสร้อยเมื่อจบบทหนึ่ง เช่น ฉะนี้ ดังนี้ นั้นเถิด นั้น แล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น ไม่ถือเป็นเคร่งครัดจะมีหรือไม่มีก็ได้
ร่ายดั้น
รูปแบบผังทางฉันทลักษณ์ของร่ายดั้น |
เช่น
เปรมใจราษฎร กำจรยศโยค ดิลกโลกอาศรัย
ชัยชยนฤเบนทรา ทรงเดช
ฤๅส่งดินฟ้าฟุ้ง ข่าวขจร
(ลิลิตยวนพ่าย)
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
คณะ ร่ายดั้น 1 บท มีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป(4 วรรคสุดท้ายคือสองบาทท้ายของโคลงดั้น) วรรคหนึ่งมีตั้งแต่ 3 ถึง 8 คำ ลงท้ายบทด้วยบาทที่ 3 และบาทที่ 4 ของโคลงดั้น
สัมผัส มีสัมผัสส่งและสัมผัสรับเช่นเดียวกับร่ายสุภาพ แต่เนื่องจากจำนวนคำในแต่ละคำในแค่ละวรรคไม่แน่นอน สัมผัสจึงต้องเลื่อนตามจำนวนคำด้วย กล่าวคือ
ถ้ามีวรรคละ 3 – 4 คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ 1 - 2
ถ้ามีวรรคละ 5 คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ 1 - 3
ถ้ามีวรรคละ 6 คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ 1 – 4
ถ้ามีวรรคละ 7 –8 คำ ควรรับสัมผัสที่คำที่ 1 – 5
คำสร้อย เช่นเดียวกับร่ายสุภาพ คือ เติมได้ 2 คำท้ายบทหรือเติมสร้อยระหว่างวรรคก็ได้
ร่ายดั้น ปรากฏในลิลิตยวนพ่าย ทวาทศมาส กำสรวลโคลงดั้น แล้วต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีในนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อยและนารายณ์สิบปาง
ร่ายสุภาพ
ร่ายเป็นคำประพันธ์ที่เก่าแก่ชนิดของไทย ดังปรากฏในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ร่ายเป็นชื่อของคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดว่าจะต้องมีบทหรือบาทเท่านั้นเท่านี้ จะแต่งยาวเท่าไรก็ได้ เป็นแต่ต้องเรียงคำให้คล้องจองกันตามข้อบังคับเท่านั้น ลักษณะบังคับต่างๆใช้อย่างเดียวกับโคลงสองและโคลงสาม ในตำราชุดครูประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาของคุรุสภา ให้ความหมายของคำว่าร่าย คือคำประพันธ์ที่ส่วนมากใช้บรรยายเรื่องสัมผัสต่อกันไปทุกวรรค จะแต่งให้สั้นยาวเท่าใด ก็ได้ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อความที่แต่ง
ซึ่งร่ายนั้นมีหลายประเภทแบ่งออกเป็น
ร่ายสุภาพ
รูปแบบผังทางฉันทลักษณ์ของร่ายสุภาพ |
เช่น
ธ มิอาจจะดำรง พระองค์ท้าย ธ อยู่ได้ ไห้สยบซบเหนือหมอน
พระกรปิดพระพักตร์ ไห้ร่ำรักลูกไท้
ไห้บ่รู้กี่ไห้ ลูกแก้วกับตน แม่เอยฯ
(ลิลิตพระลอ)
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
คณะ ร่ายสุภาพ 1 บท มีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่งมี 5 คำ บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ ลงท้ายจะต้องจบด้วยโคลงสี่สุภาพ
สัมผัส จากวรรคหน้าไปยังสัมผัสรับในคำที่ 1 , 2 หรือ 3 ของวรรคต่อไป วรรคที่อยู่ข้างหน้าของ 3 วรรคสุดท้าย จะส่งสัมผัสไปยังคำที่ 1 , 2 หรือ 3 ของบาทต้นในโคลงสองสุภาพ
คำสร้อย เติมได้ 2 คำท้ายบท เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพในร่ายสุภาพของโคลงโบราณ มีคำสร้อยปรากฏสลับแต่ละวรรคด้วย
ร่ายสุภาพ เป็นร่ายที่นิยมแต่งเพราะ มีความไพเราะมีลีลาราบรื่น มีจังหวะสัมผัสและระเบียบแบบแผนกว่าร่ายชนิดอื่น ปรากฏครั้งแรกในลิลิตพระลอ
วสันตดิลกฉันท์๑๔
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ มีความหมายเรียกกันว่า ฉันท์สายฝน เป็นฉันท์ที่มีลีลางดงามที่สุดประดุจความงามของน้ำฝนในวสันตฤดู มีความไพเราะเหมาะสำหรับแต่งเรื่องพรรณนา ชมเชย ให้ผู้ฟังรู้สึกไพเราะซาบซึ้งกินใจ คณะและพยางค์ บทหนึ่งมี ๒ บาท ๔ วรรค วรรคที่ ๑ มี ๘ คำวรรคที่ ๒ มี ๖ คำ วรรคที่ ๓ มี ๘ คำ วรรคที่ ๔ มี ๖ คำ ๑ บทมี ๒๘ คำ สัมผัส มีสัมผัสในบท ๒ แห่ง คือ ๑. คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ๒. คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ สัมผัสระหว่างบท คือ คำสุดท้ายของบท สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของบทต่อไปคำครุ ลหุ บทหนึ่งมีคำครุทั้งหมด ๑๔ คำ คำลหุ ๑๔ คำ วรรคที่ ๑ และวรรคที่ ๓ มีคำครุ ๔ คำ คำลหุ ๔ คำ คื่อ คำที่ ๑ ๒ ๔ ๘เป็นคำครุ คำที่ ๓ ๕ ๖ ๗ เป็นคำลหุ วรรคที่ ๒ และวรรคที่ ๔ เป็นครุ ๓ คำ คำลหุ ๓ คำ คำที่ ๑ ๒ ๔ เป็นคำครุคำที่ ๓ ๕ ๖ เป็นคำลหุ ตัวอย่าง อำพนพระมนทิรพระราช สุนิวาสน์วโรฬาร์อัพภันตรไพจิตรและพา- หิรภาคก็พึงชม เล่ห์เลื่อนชะลอดุสิตฐา น มหาพิมานรมย์มารังสฤษฎ์พิศนิยม ผิจะเทียบก็เทียมทัน ( สามัคคีเภทคำฉันท์ ชิต บุรทัต ) ที่มา หนังสือการแต่งคำประพันธ์ ประยอม ซองทอง |
อินทรวิเชียรฉันท์11
คำครุ
หมายถึง คำที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น กา ตี งู กับคำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นหรือยาวก็ได้ที่มีตัวสะกด เช่น นก บิน จาก รัง นอน และคำที่ประสมด้วยสระ อำ ไอ ใอ เอา ซึ่งถึอว่าเป็นเสียงมีตัวสะกด
หมายถึง คำที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น กา ตี งู กับคำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นหรือยาวก็ได้ที่มีตัวสะกด เช่น นก บิน จาก รัง นอน และคำที่ประสมด้วยสระ อำ ไอ ใอ เอา ซึ่งถึอว่าเป็นเสียงมีตัวสะกด
คำลหุ
หมายถึง คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น จะ ติ มุ เตะ และคำที่ใช้พยัญชนะคำเดียว เช่น ก็ บ่ ณ ธ นอกจากนี้คำที่ประสมด้วย สระอำ บางทีก็อนุโลมให้เป็นคำลหุได้ เช่น ลำ
คำลหุ เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ ใช้เครื่องหมายเหมือนสระอุ แทน
หมายถึง คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น จะ ติ มุ เตะ และคำที่ใช้พยัญชนะคำเดียว เช่น ก็ บ่ ณ ธ นอกจากนี้คำที่ประสมด้วย สระอำ บางทีก็อนุโลมให้เป็นคำลหุได้ เช่น ลำ
คำลหุ เวลาเขียนเป็นสัญลักษณ์ ใช้เครื่องหมายเหมือนสระอุ แทน
ตัวอย่างอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (1)
เสนอโทษะเกียจคร้าน กิจการนิรันดร
โดยอรรถะตรัสสอน กลหกประการแถลง
เสนอโทษะเกียจคร้าน กิจการนิรันดร
โดยอรรถะตรัสสอน กลหกประการแถลง
ตัวอย่างอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (2)
ราชาพระมิ่งขวัญ สุนิรันดร์ประเสริฐศรี
ไพร่ฟ้าประดามี มนชื่นสราญใจ
ทรงเป็นบิดรราษฎร์ กิติชาติขจรไกล
กอปรบารมีชัย ชุติโชติเชวงเวียง
ไพร่ฟ้าประดามี มนชื่นสราญใจ
ทรงเป็นบิดรราษฎร์ กิติชาติขจรไกล
กอปรบารมีชัย ชุติโชติเชวงเวียง
ตัวอย่างอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (3)
พวกราชมัลโดย พลโบยมืใช่เบา
สุดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพึงกลัว
บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศเส้นสรีระรัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระรัวไหล
พวกราชมัลโดย พลโบยมืใช่เบา
สุดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพึงกลัว
บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศเส้นสรีระรัว
ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระรัวไหล
ที่มา: หนังสือร้อยรสพจมาน
กาพย์สุรางคนางค์ 28
ตัวอย่างคำประพันธ์
สุรางคนางคนางค์ เจ็ดวรรคจักวาง ให้ถูกวิธี
วรรคหนึ่งสี่คำ จงจำให้ดี บทหนึ่งจึงมี ยี่สิบแปดคำ
หากแต่งต่อไป สัมผัสตรงไหน จงให้แม่นยำ
คำท้ายวรรคสาม ติดตามประจำ สัมผัสกับคำ ท้ายบทต้นแล
อ.ฐปนีย์ นาครทรรพ ประพันธ์
ตัวอย่างที่ ๒
กราบครูอาจารย์ ที่ได้สืบสาน ร้อยกรองของไทย
ศิษย์มาสานต่อ ขอกำลังใจ ICT สื่อใหม่ ได้สัมฤทธิ์ผล
เด็กเรียนเด็กรู้ เมื่อได้ฝึกดู แต่งได้บัดดล
เทคโนโลยี ที่ได้คิดค้น ขอเด็กทุกคน ตั้งใจใฝ่เรียน
อ.ภาทิพ ศรีสุทธิ์
สุรางคนางคนางค์ | เจ็ดวรรคจักวาง | ให้ถูกวิธี |
วรรคหนึ่งสี่คำ | จงจำให้ดี | บทหนึ่งจึงมี | ยี่สิบแปดคำ |
หากแต่งต่อไป | สัมผัสตรงไหน | จงให้แม่นยำ |
คำท้ายวรรคสาม | ติดตามประจำ | สัมผัสกับคำ | ท้ายบทต้นแล |
กราบครูอาจารย์ | ที่ได้สืบสาน | ร้อยกรองของไทย |
ศิษย์มาสานต่อ | ขอกำลังใจ | ICT สื่อใหม่ | ได้สัมฤทธิ์ผล |
เด็กเรียนเด็กรู้ | เมื่อได้ฝึกดู | แต่งได้บัดดล |
เทคโนโลยี | ที่ได้คิดค้น | ขอเด็กทุกคน | ตั้งใจใฝ่เรียน |
ฉันทลักษณ์(ลักษณะข้อบังคับในการแต่ง)
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตัวอย่างการเสนอเนื้อหาในการแต่งกาพย์สุรางคนางค์ 28ตัวอย่างการกล่าวนำ เชิญชวน ให้เห็นคุณค่า |
กาพย์ยานี11
ตัวอย่างคำประพันธ์
สิบเอ็ดบอกความนัย | หนึ่งบาทไซร้ของพยางค์ |
วรรคหน้าอย่าเลือนราง | จำนวนห้าพาจดจำ |
หกพยางค์ในวรรคหลัง | ตามแบบตั้งเจ้าลองทำ |
สัมผัสตามชี้นำ | โยงเส้นหมายให้เจ้าดู |
สุดท้ายของวรรคหนึ่ง | สัมผัสตรึงสามนะหนู |
หกห้าโยงเป็นคู่ | เร่งเรียนรู้สร้างผลงาน |
อ.ภาทิพ ศรีสุทธิ์ |
คณะ กาพย์ยานี ได้ชื่อว่ายานี ๑๑ เพราะ จำนวนพยางค์ใน ๒ วรรค หรือ ๑ บรรทัด รวมได้ ๑๑ พยางค์ ๑ บท มี ๔ วรรค วรรคหน้า ๕ พยางค์ วรรคหลัง ๖พยางค์ |
สัมผัสระหว่างวรรค ใน ๑ บท มีสัมผัส ๒ คู่ สังเกตจากแผนผังและตัวอย่าง (คำสัมผัสในที่นี้คือสัมผัสสระ หากไม่เข้าใจ คลิกที่วงเล็บนี้เพื่อศึกษาเรื่องคำสัมผัสสระ) |
ตัวอย่าง
|
คลื่นคลั่งทะเลโถม | กระหน่ำโหมทะเลคน |
คลื่นซัดระบัดชล | เฉกจะล้างฤๅอย่างไร |
ยิ้มแย้มแต้มเกลื่อนอยู่ | มินึกรู้เหตุการณ์ใด |
ธรณีพิโรธไย | จึงเข่นฆ่าประชากร |
ฟ้าดินดาวเดือนดับ | คณานับขจายขจร |
เสียงร่ำด้วยร้าวรอน | ร้องหวีดหวาดทะเลตรม |
สายตาที่แตะต้อง | ทุกที่ท้องล้วนทุกข์ถม |
ซากศพกลางเลนตม | สู้แดดลมอย่างเดียวดาย |
ฟ้าพรากจากอกฟ้า | ปวงประชาพาขวัญหาย |
"พุ่ม"เพิ่งฉกรรจ์กาย | ลาลับหมายกรายเยี่ยมฟ้า |
คลื่นใจจึงรวมจิต | ร่วมอุทิศคลื่นศรัทธา |
.สยบคลื่นยักษา | ร่วมเยียวยาด้วยคลื่นใจ |
อ.ภาทิพ | |
30/12/2004 11:11 |
ฝันร้าย ๑
.เพราะงามจึงตามฝัน | จิตมุ่งมั่นมุ่งหมายมา |
หลายชาติหลายภาษา | ร่วมชะตาชมอ่าวงาม |
หัวเราะระเริงรื่น. | แสนสดชื่นอ่าวสยาม |
บ้างมองฟ้าสีคราม | วิ่งไล่ตามโล้คลื่นลม |
บัดเดี๋ยวน้ำเหือดหาย | ม้วนกลับคล้ายจะขู่ข่ม |
.สรรพสิ่งต่างดิ่งจม | หวีดระงมตะลึงลาน |
งงงงแล้วคงนิ่ง | เกินไหวติงแม้คืบคลาน |
คลื่นคลั่งเข้าสังหาร | สุดแรงต้านรักษาตัว |
พ่อแม่เหลียวแลลูก | เจ้าบุญปลูกร้องระรัว |
มือหมายคว้าไขว่ทั่ว | โคลนขุ่นมัวกลบเกลื่อนกาย |
ใจหายตายทั้งเป็น | สุดลำเค็ญใต้โคลนทราย |
.ใช่เป็นเช่นฝันร้าย | หมื่นชีพวายใต้หาดงาม |
อ.ภาทิพ |
คลื่น ๓
| |
ภูเก็ตเพชรเพริศแพร้ว | เลือนลับแล้วทะเลคราม |
ธันวาสี่เจ็ดคร้าม | ทุกเขตคามเหลือร่องรอย |
รอยร้างพร่างพร่าเกลื่อน | ร้านเรือเรือนร้างคนคอย |
คอยคนหลายวันคล้อย | เพียงศพลอยที่เยือนมา |
น้ำตาจึงพร่าพร่าง | ทุกก้าวย่างอนาถา |
ศพซากลากนำมา | ไร้ชีวาไร้แรงลม |
ลมแรงแห่งเกลียวคลื่น | อ้าปากกลืนชีวิตจม |
จมจ่อมพร้อมทับถม | โศกเศร้าซมผู้พบพาน |
พานพาหาคนรัก | วันสู่ปักษ์จักร้าวราน |
รานร้าวนั้นเนิ่นนาน | เพราะล่วงกาลมิผ่านพบ |
พบเพียงเสียงร่ำไห้ | ทั้งเทศไทยมาบรรจบ |
จบกิจคิดเรื่องรบ | มาสมทบช่วยคลี่คลาย |
คลายทุกข์ที่โศกเศร้า | เพื่อบรรเทาเยียวยากาย |
กายใจไม่สบาย | จงเลือนหายร้ายจากภูฯ |
กลอนสุภาพ
จำเรียงรักษ์อักษรผ่านกลอนกาพย์
|
เพราะซึ้งซาบรสกวีศรีสยาม
|
"สุนทรภู่"ครูกลอนกระฉ่อนนาม
|
ทั่วเขตคามใครอ่านซ่านอารมณ์
|
ทั้งแว่วหวานตาลหยดจนมดไต่ | โอดอาลัยโศกเศร้าเคล้าทุกข์ถม |
ไหลลดเลี้ยวทะเล้นล้อโลมลม | พอกเพาะบ่มสั่งสอนแทรกซ้อนธรรม |
เสริมคติชี้นำย้ำให้คิด | เมื่อชีวิตตกยุคทุกข์กระหน่ำ |
บอกสาเหตุเจตนาพาระกำ | คนอ่านนำประยุกต์ใช้ได้ทุกครา |
ยอดนิราศปราชญ์นิทานคนขานกล่าว | จินตกวีเรื่องราวจนกังขา |
ไม่เคยพบไม่เคยเห็นเป็นบุญตา | กลับเกิดมาชี้ชัดปัจจุบัน |
ซึ้งพระคุณครูกลอนที่สอนศิษย์ | จึงอุทิศใจกายหมายมุ่งมั่น |
สืบอักษรกลอนครูอยู่นิรันดร์ | แพร่วงวรรณศาสตร์ศิลป์ทั่วถิ่นไทย |
ครูภาทิพ มิถุนายน ๒๕๔๘ |
เมื่อแต่งมากกว่า ๑ บท ต้องมีสัมผัสระหว่างบท สังเกตสัมผัสระหว่างบทจากแผนผัง
ตัวอย่างบทประพันธ์ที่ควรจำ
กลอนสุภาพพึงจำมีกำหนด
| กลอนหนึ่งบทสี่วรรคกรองอักษร |
วรรคละแปดพยางค์นับศัพท์สุนทร | อาจยิ่งหย่อนเจ็ดหรือเก้าเข้าหลักการ |
ห้าแห่งคำคล้องจองต้องสัมผัส | สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน |
เสียงสูงต่ำต้องเรียงเยี่ยงโบราณ | เป็นกลอนกานท์ครบครันฉันท์นี้เอย |
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ ม.ล.บุญเหลือ เทพสุวรรณ ประพันธ์ |
ความไพเราะของกลอนสุภาพคลิกอ่านฉบับปรับปรุงจากลีลาภาษากลอน ๑ และ ๒
คณะของกลอนสุภาพ หนึ่งบทมี ๔ วรรค วรรคละ ๘- ๙ พยางค์ ๘ พยางค์ไพเราะที่สุดสัมผัสบังคับของ กลอนสุภาพเป็นสัมผัสสระตามแผนผัง ความหมายก็คือสัมผัสนอกวรรคและนอกบท เป็นเสียงสัมผัสสระที่บังคับระหว่างวรรคและระหว่างบท สัมผัสใน สัมผัสในหมายถึงเสียงสัมผัสคล้องจองภายในวรรคเดียวกันประกอบด้วยเสียงสระและเสียงพยัญชนะ ช่วยทำให้กลอนมีความไพเราะรื่นหู ไม่ได้บังคับไว้ในฉันทลักษณ์ กลอนของสุนทรภู่จะมีลักษณะโดดเด่นในเรื่องสัมผัสในมากที่สุด ผู้รู้ตั้งข้อสังเกตว่ากลอนสุภาพที่โดดเด่นด้านสัมผัสในนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก "ปัฐยาวัตตฉันท์" ของภาษาบาลีและรวมกลบทเรื่อง "กลบทศิริวิบุลกิติติ์" ของ หลวงศรีปรีชา(เซ่ง)
สัมผัสใจ สัมผัสใจในที่นี้หมายถึงการเขียนกลอนให้สัมผัสถึงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้อ่าน ผู้ฟัง กลอนจะสัมผัสใจได้ต้องมีองค์ประกอบที่เด่น ๆ หลายส่วนด้วยกันดังแผนภาพ
ตัวอย่างการใช้อุปลักษณ์(เปรียบความคิดอย่างหนึ่งโยงไปสู่อีกอย่างหนึ่ง) ตัวอย่าง คือหยาดน้ำอำมฤตอันชื่นชุ่ม คือเกสรดอกไม้คือไฟรุม คือความกลุ้มคือความฝันนั่นแหละรัก (รยงค์ เวนุรักษ์ :ไฟรัก ไฟชัง ไฟลา) ตัวอย่างการใช้สัญลักษณ์ อาจเป็นความหนาวในราวป่า เมื่อพบว่ารอยเท้าก้าวถลำ และอ้อมแขนความมืดมีเพียงสีดำ ในช่วงคืนแห่งค่ำร่ำอวยพร (ชนิดา เดชาฤทธิ์) สีดำ แทนความมืด ความลี้ลับและความตาย
สัมผัสความ
คำว่าสัมผัสความในที่นี้หมายถึง การเรียบเรียงเนื้อหาและแนวคิดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เป็นเนื้อเดียวกันจากวรรค ๑ สู่วรรค ๒ วรรค ๓ วรรค ๔ และส่งไปยังบทต่อ ๆ ไป ขณะเดียวกันก็สอดรับกับชื่อเรื่อง ที่ตั้งไว้ ตัวอย่าง กลอนใช้คำสื่อความของศิลปินแห่งชาติ สึนามิตร สึนามิเพรียกหาสึนามิตร โลกถึงกาลวิกฤตจะล่มสลาย มวลมนุษย์ทั้งโลกจะมอดมลาย อารยธรรมวอดวายวูบดับวับ "อานนท์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน สะบัดตัวพลิกเคลื่อนเขยื้อนขยับ" ปวงธาตุทั้งหลายถล่มทับ ถั่งทลายไปกับกาลเวลา โอ้ว่าอาทิตย์อุทัยสมัย ลูกอาทิตย์อุทัยท่าวทบหล้า ปฐพีพิโรธประลัยนภา โอ้ว่าอนิจจาชีวามนุษย์ ยิ่งจะเจริญยิ่งจะร่วงกระนั้นหรือ ยิ่งจะยื้อยิ่งจะเร่งให้โลกหยุด ยิ่งสูงส่งเท่าไรยิ่งใกล้ทรุด ฤๅดาวโลกใกล้จะหลุดลงหลุมดำ
สึนามิเพรียกหาสึนามิตร
ทุกชีวิตทุกวัยเหมือนใกล้ค่ำ มาเถิดมิตรเผชิญหน้าชะตากรรม ร่วมเช็ดน้ำตาช่วยด้วยน้ำมิตร ฯ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
สัมผัสเลือนคือสัมผัสสระที่ต้องห้าม ไม่ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ กล่าวคือ นำ สระเสียงสั้นมาสัมผัสกับสระเสียงยาว เช่น
เสียง ไอ ใอ อัย กับ เสียง อาย เสียงอัน กับ เสียง อาน เสียง อัง กับ เสียง อาง
ในการแต่งกลอนถือว่าสระเสียงสั้นกับสระเสียงยาวคนละหน่วยเสียงกัน ดังนั้นเมื่อแต่งกลอน ต้องไม่ใช้คำสัมผัสดังที่กล่าวมา
ชิงสัมผัส คือการแย่งตำแหน่งสัมผัสบังคับ ก่อนถึงตำแหน่งสัมผัสเช่น คำสุดท้ายของวรรครับ
ต้องสัมผัสกับคำสุดท้ายในวรรครอง แต่ผู้แต่งกลับไปใส่เสียงสัมผัสนั้นในตำแหน่งคำอื่นๆ อาจจะเป็น คำที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ หรือ ๗ ก่อนถึงตำแหน่งนั้น เหมือนกับการแย่งซีนนั่นเอง ทำให้กลอนไม่ไพเราะ เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน
การลงเสียงวรรณยุกต์ท้ายแต่ละวรรคตามประเพณีนิยม เป็นอีกกลวิธีหนึ่งที่ทำให้กลอนนั้นมีความไพเราะ
รื่นหู
วรรคสลับ แต่โบราณ วรรคนี้จะไม่นิยมลงท้ายด้วยเสียงสามัญ แต่ปัจจุบันนิยมลงทุกเสียง
วรรครับ นิยมลงเสียง เอก เสียงโท และเสียงจัตวา การลงด้วยเสียงจัตวาเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุด และมีข้อสังเกตว่า หากลงเสียงจัตวาก็จะไม่ใช้คำจัตวาที่มีรูปวรรณยุกต์กำกับ วรรครองและวรรคส่ง นิยมลงเสียงวรรณยุกต์สามัญและตรี
ตัวอย่างเสียงสามัญ พอ เพลิน ใจ เธอ แวว ดี ชม คอย
ตัวอย่างคำประพันธ์ตัวอย่างเสียงเอก เกิด แผ่ว โศก ผิด หวาด แจก บาป เสก ตัวอย่างเสียงโท พ่อ วาด บ้าน แลก ข้อง รีบ เพรียก เมฆ ตัวอย่างเสียงตรี นุช รึ น้อง แล้ว จ๊ะ พลิก รัก พิศ ตัวอย่างเสียงจัตวา หรือ สมหมาย ปรารถนา สวรรค์ ผิวเผิน ขาน ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา (สุนทรภู่) ศักดิ์ เสียงวรรณยุกต์เอก จิต เสียงรรณยุกต์เอก มิตร เสียงวรรณยุกต์ตรี จา เสียงวรรณยุกต์สามัญ
ในการแต่งกลอนไม่เพียงแค่รำพึงรำพัน หรือเรียบเรียงสัมผัสคล้องจองไปอย่างไร้จุดหมาย ผู้เขียนต้องมีแนวคิดที่ชัดเจนว่าจะนำเสนอแนวคิดอะไรถึงผู้อ่าน โดยใช้ภาษากลอนเป็นสื่อนำสาร(แนวคิด) กลอน ๑ เรื่องควรเสนอแนวคิดหลักเพียงแนวคิดเดียว
ตัวอย่างกลอนที่เสนอแนวคิดของสมาชิกกลุ่มร้อยรสบทกวี ต้นหญ้าบนรอยแยก : โสภณ เปียสนิท เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเมื่อมีชีวิตก็ต้องสู้โดยนำต้นหญ้าบนรอยแยกเป็นตัวเปรียบเปรย ถ้าวันนี้..หนูมีพ่อ : สันติสุข สันติศาสนสุข เสนอแนวคิดสะท้อนภาพเด็กที่กำพร้า ประเทศไทย ไร้เจ้าของ...? : ปณิธิ ภูศรีเทศ เสนอแนวคิดให้ช่วยกันดูแลรักษาประเทศ อย่าทำลาย
พรุ่งนี้.....ของอาคิมาสะ : ภาทิพ
สะท้อนแนวคิดเรื่อง ความไม่แน่นอนจงอย่าผัดวันประกันพรุ่ง ..พอเพียง... : ครู ป.1 สะท้อนแนวคิดการมีความสุขบนความพอเพียง
วรรคทองของกลอนคือกลอนวรรคที่มีความงดงามด้านการใช้ภาษา เสนาะด้วยเสียงสัมผัส ง่ายต่อการจดจำหรือท่องจำ มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรย ใช้อุปมาอุปไมย อุปลักษณ์ สัญลักษณ์ โดดเด่นด้วยแนวคิดที่เป็นสัจธรรม และมีความเป็นอมตะ เป็นนิรันดร์ ไม่ตกยุค
กลอนที่เป็นวรรคทองจะถูกนำไปใช้ประกอบการเขียนเพื่อเป็นบทนำ เพื่อประกอบในตอนจบเรื่อง การพูดเกริ่นนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง การพูดตอนจบ หรือการประกอบการเทศนาธรรม เช่น บทกลอนของสุนทรภู่ ของท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น
ท่านผู้รู้แนะนำว่า ในการแต่งกลอนแต่ละครั้ง ผู้เขียนควรคิดหาคำที่มาเรียบเรียงเป็นวรรคทองอย่างน้อย ๑ วรรค
คลิกอ่านตัวอย่างวรรคทอง วรรคทองของกวี
ผู้ที่อยากจะเขียนกลอนได้แต่ไม่มีพรสวรรค์ หากเพียงแต่อ่านฉันทลักษณ์แบบแผน ก็ยากที่ผลงานจะออกมาได้ดี การอ่านเป็นหัวใจของการเขียน คนที่จะเขียนกลอนได้ดี ต้องอ่านมาก โดยเฉพาะผลงานกลอนของครู-บูรพาจารย์ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านมีการสะสมคำ สะสมภาษาที่งดงาม และชินต่อเสียงสัมผัส
การเริ่มต้นเขียนอาจจะเริ่มจากการเขียนล้อคำ ล้อความ ล้อสัมผัสกลอนของบรรดาครู ๆ ทั้งหลายก็ได้ หากสนใจก็หาอ่านได้จาก เว็บ วรรคทองของกวี บันทึกไว้ในวงวรรณ ๔ มาลีฟ้า จอมยุทธเมรัย
ตัวอย่างผลงานกลอนระดับครู-บูรพาจารย์
แม้อกนี้แคบนักน้องรักเอ๋ย อย่าหวั่นเลยอุ่นอุรากว่าอกไหนเมื่อมีพี่เอื้ออกแคบให้แอบไอ จะออมไว้ให้อิงเพียงหญิงเดียว
(สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ : ออมอก)
สรวงสวรรค์ชั้นกวีรุจีรัตน์
ผ่องประภัศร์พลอยหาวพราวเวหาพริ้งไพเราะเสนาะกรรณวัณณนา สมสมญาแห่งสวรรค์ชั้นกวี (น.ม.ส. : สามกรุง)
ถ้ารักใครไม่ได้ก็ไม่รัก
แต่กุจักชักดาบเข้าฉาบฉุดดั่งโคถึกคึกคะนองลำพองรุด ใครจะยื้อใครจะยุดจะฉุดใจเมื่อรักกันไม่ได้ก็ไม่รัก ไม่เห็นจักเกรงการสถานไหนไม่รักกุกุก็จักไม่รักใคร เอ๊ะ น้ำตากุไหลทำไมฤๅ (ขรรค์ชัย บุญปาน, สุจิตต์ วงษ์เทศ : ร่วมกลอนรัก)
เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้ามิหวังกระทั่งฟากฟ้า ซบหน้าติดดินกินทราย (อังคาร กัลยาณพงศ์ : เสียเจ้า)
ตาต่อตามิได้หมายถึงจิต
กายอยู่ชิดเมื่อใจเอื้อมไม่ถึงยิ้มตอบยิ้มใช่สลักรักรัดรึง คนใกล้จึงแสนไกลในชีวิต ๚
(สินี เต็มสงสัย : คนใกล้)
เธอจะอยู่แห่งไหน...ในผืนหล้า
รู้เถิดว่าพี่ครวญหวนถวิลไม่สิ้นแรงร่างล้มลงถมดิน พี่ไม่สิ้นคำนึง...คิดถึงเธอ
(สุรพล สุมนนัฏ : แด่อดีต)
เมื่อขอบฟ้าพร่าพราวหลาวทองทาบ
พุ่งปลายปลาบทะลวงถิ่นทมิฬถอยความมืดแมกแหลกเรื้อไม่เหลือรอย อุทัยพร้อยแสงพร่างสว่างพราย (อุชเชนี: ในนิมิตร)
สองหูแว่วแว่วเสียงสำเนียงหวน
เสียงครางครวญชวนให้ฤทัยหมอง เสียงนั้นแว่วแผ่วมาน่าขนพอง คือเสียงของความจนค่นแค้นเอย ๚
(อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์: เสียงจากความจน)
กลอนนิราศกลอนนิราศมีฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ ทุกประการเพียงแต่กลอนนิราศจะขึ้นต้นบทแรก ด้วยวรรคที่ ๒ คือวรรครับ และลงท้าย ในการจบด้วยเอย ครูกลอนนิราศคือ ท่านสุนทรภู่กวีเอกของโลก แหล่งเรียนรู้กลอนนิราศ |
ตัวอย่างสัมผัสบังคับของกลอนสุภาพ
|
ดอกมลุลี
|
ดอกรสสุคนธ์
ตัวอย่างการเล่นสัมผัสใน
|
กรรณิการ์กลีบขาวดุจดาวแจ่ม เผยกลีบแย้มโปรยกลิ่นถิ่นพฤกษา คราวค่ำคืนชื่นจิตให้นิทรา ตื่นเช้ามากลีบร่วงล่วงสู่ดิน เปรียบดอกไม้คล้ายเป็นเช่นมนุษย์ มีสูงสุดต่ำตกล้วนผกผิน กรุ่น กลิ่นหอมกำจายให้ยลยิน มีหมดกลิ่นโรยร่วงตามบ่วงกาล |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)