ร่ายโบราณ
รูปแบบผังทางฉันทลักษณ์ของร่ายโบราณ
|
เช่น
ประชากรเกษมสุข สนุกทั่วธรณี พระนครศรีอโยธยา
มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์
อุดมยศโยคยิ่งหล้า ฟ้าฟื้นฝึกบูรณ์
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
ร่ายโบราณ มีปรากฏอยู่ในวรรคดีโบราณคล้ายกับร่ายสุภาพ คือ บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวนวรรค แต่ไม่ต่ำกว่า 5 วรรค 1 วรรคมี 5 – 8 คำ มีสัมผัสส่งจากวรรคหน้าไปยังคำที่ 1 – 2 – 3 ของวรรคต่อไป แต่ไม่ต้องลงท้ายด้วยโคลงสองเหมือนร่ายสุภาพ คือ จบโดยไม่มีวิธีลงท้ายใดๆอาจมีคำสร้อย 2 คำตอนสุดท้ายหรือสลับวรรคก็ได้
ร่ายยาว
รูปแบบผังทางฉันทลักษณ์ของร่ายยาว
|
เช่น
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยามหาดิลก
ภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมนิเวศน์มหาสถาน บรมพิมานอวตารสถิต
ศักรทิตติยวิษณุกรรมประสิทธ์
(นามกรุงเทพฯ)
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
คณะ ร่ายยาวมิได้บังคับจำนวนคำ คือ มีคณะไม่แน่นอนในวรรคหนึ่ง อาจมีจำนวนคำตั้งแต่ 6 – 7 คำ ไปจนถึง 15 คำ แล้วแต่ความยาวและช่วงการหายใจครั้งหนึ่ง
สัมผัส มีหลักว่าในคำท้ายของแต่ละวรรคเป็นตัวส่งสัมผัสคำใดคำหนึ่งในวรรคถัดไปเป็นคำรับสัมผัส ไม่แน่นอนว่าจะสัมผัสคำที่เท่าใด ถ้าส่งวรรณยุกต์เอกก็ควรรับด้วยคำเอก ส่งคำโทก็รับคำโท แต่ไม่ถือเคร่งครัดนัก คำที่รับสัมผัสอาจเป็นคำที่ 3 , ที่ 4 , คำที่ 7 หรือคำที่ 10 แล้วแต่จะเหมาะสม
คำสร้อย เนื่องจากร่ายยาวเป็นคำประพันธ์ที่นิยมแต่งเป็นกลอนสวดหรือกลอนเทศน์ใช้อ่านทำนอง จึงมักจะมีคำสร้อยเมื่อจบบทหนึ่ง เช่น ฉะนี้ ดังนี้ นั้นเถิด นั้น แล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น ไม่ถือเป็นเคร่งครัดจะมีหรือไม่มีก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น