ร่ายเป็นคำประพันธ์ที่เก่าแก่ชนิดของไทย ดังปรากฏในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ร่ายเป็นชื่อของคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดว่าจะต้องมีบทหรือบาทเท่านั้นเท่านี้ จะแต่งยาวเท่าไรก็ได้ เป็นแต่ต้องเรียงคำให้คล้องจองกันตามข้อบังคับเท่านั้น ลักษณะบังคับต่างๆใช้อย่างเดียวกับโคลงสองและโคลงสาม ในตำราชุดครูประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาของคุรุสภา ให้ความหมายของคำว่าร่าย คือคำประพันธ์ที่ส่วนมากใช้บรรยายเรื่องสัมผัสต่อกันไปทุกวรรค จะแต่งให้สั้นยาวเท่าใด ก็ได้ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อความที่แต่ง
ซึ่งร่ายนั้นมีหลายประเภทแบ่งออกเป็น
ร่ายสุภาพ
รูปแบบผังทางฉันทลักษณ์ของร่ายสุภาพ |
เช่น
ธ มิอาจจะดำรง พระองค์ท้าย ธ อยู่ได้ ไห้สยบซบเหนือหมอน
พระกรปิดพระพักตร์ ไห้ร่ำรักลูกไท้
ไห้บ่รู้กี่ไห้ ลูกแก้วกับตน แม่เอยฯ
(ลิลิตพระลอ)
ลักษณะทางฉันทลักษณ์
คณะ ร่ายสุภาพ 1 บท มีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่งมี 5 คำ บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ ลงท้ายจะต้องจบด้วยโคลงสี่สุภาพ
สัมผัส จากวรรคหน้าไปยังสัมผัสรับในคำที่ 1 , 2 หรือ 3 ของวรรคต่อไป วรรคที่อยู่ข้างหน้าของ 3 วรรคสุดท้าย จะส่งสัมผัสไปยังคำที่ 1 , 2 หรือ 3 ของบาทต้นในโคลงสองสุภาพ
คำสร้อย เติมได้ 2 คำท้ายบท เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพในร่ายสุภาพของโคลงโบราณ มีคำสร้อยปรากฏสลับแต่ละวรรคด้วย
ร่ายสุภาพ เป็นร่ายที่นิยมแต่งเพราะ มีความไพเราะมีลีลาราบรื่น มีจังหวะสัมผัสและระเบียบแบบแผนกว่าร่ายชนิดอื่น ปรากฏครั้งแรกในลิลิตพระลอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น